วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ปกาเกอะญอ ผู้รักป่า

ปกาเกอะญอ




  • ชาวกะเหรี่ยง เรียกตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” ซึ่งแปลว่า “คน” เป็นชนเผ่าที่มีจำนวนมากที่สุด ในประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ สะกอ หรือยางขาว หรือ ปากฺกะญอ เป็นกลุ่มที่มีประชากรมากที่สุด โป หรือ โพล่ อยู่ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำพูน ปะโอ หรือ ตองสู และบะเว หรือ คะยา ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ถิ่นฐานเดิมของกะเหรี่ยงอยู่บริเวณมองโกเลียเมื่อกว่า2000ปีมาแล้ว ต่อมาได้หนีภัยจากการรุกรานจากกองทัพจีน มาอยู่ที่ธิเบต ถอยร่นลงมาทางใต้เรื่อยๆ ตั้งแต่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ลุ่มน้ำสาละวิน มาถึงคอคอดกระจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้ามาในประเทศไทยในตอนปลายศตวรรษที่ 18 ในรัชสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ

ปกาเกอะญอมีวัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการ ทำพิธีกรรมเลี้ยงผี บวงสรวงดวงวิญญาณ ด้วยการต้มเหล้า ฆ่าไก่ - แกง และมัดมือผู้ร่วมพิธีด้วยฝ้ายดิบ ซึ่งเกี่ยวโยงกัน


 ประเพณีปีใหม่ โดยหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ระบุวันล่วงหน้า แต่ละหมู่บ้านจะมีปีใหม่ แต่ละปีไม่ตรงกัน เพราะเป็นพิธีที่หมายถึงการเริ่มต้นของฤดูกาลการเกษตร และอยู่เย็นเป็นสุข


 ประเพณีแต่งงาน ผู้หญิงจะเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง เจ้าสาวจะต้องทอเสื้อผ้า กางเกง ย่ามไว้ให้เจ้าบ่าว ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องฆ่าหมูฆ่าไก่เพื่อทำพิธีกรรมบอกต่อผีบรรพบุรุษและเป็นอาหารเลี้ยงแขก แต่งงานแล้วฝ่ายชายต้องมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง 1 ฤดูเก็บเกี่ยว ก่อนแยกไปปลูกบ้านใกล้กัน 


และยังมีพิธีกรรม"เดปอทู" ซึ่งพิธีกรรมการเกิดของชาวปกาเกอะ เมื่อใดที่มีเด็กเกิด ผู้เป็นพ่อตัดสายสะดือใส่กระบอกไม้ไผ่ไปติดไว้ตามต้นไม้ที่มีลำต้นตรงนิ่ง โดย 3 วันหลังจากผูกเสร็จแล้ว จะมีพิธีการปาสายสะดือให้ตกลงมา และห้ามตัดต้นไม้นั้น มิฉะนั้นจะเกิดเรื่องไม่เป็นสิริมงคลกับเจ้าของสะดือ  






มีสภาพความเป็นอยู่ที่ง่ายๆส่วนใหญ่อาศัยอยู่บทภูเขาสูงมีการใช่ประโยชน์จากธรรมชาติ โดยไม่มีการทำลาย
ซึ่งปกาเกอะญอมีความเชื่อในผูตผีสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นมีการไหว้ผี ซึ่งได้เชื่อว่าป่าทุกที่มีจะมีผูตผีคอยดูแลอยู่ จึ่งไม่มีการทำลายป่า




และด้วยพิธีกรรมและความเชื่อต่างๆจึงทำให้ชนเผ่ากะเหรี่ยงรักในธรรมชาติและไม่ทำลายธรรมชาติ จึงสามารถเห็นได้ว่าในหลายๆที่ในประเทศไทยที่มีหมู่บ้านปกาเกอะญอหรือกะเหรี่ยงทุกกลุ่มก็ตามหมู่บ้านนั้นจะอุดมสมบูรณ์ไป
ด้วยธรรมชาติ 




ซึ่งในการทำเกษตรก็จะทำในแบบพอเพียงพอเลี้ยงตัวเองไม่มีการทำลายป่าที่มาก ซึ่งถ้ามีก็จะมีแค่จำนวนน้อยเท่านั้น ซึ่งก็นำมาซึ่งคำกล่าวที่ว่าที่ใดมีปกาเกอะญอที่นั้นมีป่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น