วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เสียดายก่อนสิ้นใจ

หากเอ่ยถามคนหนุ่มคนสาวว่า มีอะไรในชีวิตที่รู้สึกเสียดายที่ยังไม่ได้ทำหรือไม่ เชื่อเลยว่าหนุ่มสาวส่วนใหญ่คงจะนึกไม่ออก และบอกไม่ถูกเป็นแน่ เพราะลึก ๆ แล้วเราต่างก็เผลอคิดไปว่าชีวิตนั้นยังคงอยู่อีกยาวไกล มีเวลาให้ทำในสิ่งที่อยากทำอีกตั้งเยอะ แต่หากนำคำถามเดียวกันนี้ไปถามคนชรา หรือผู้ป่วยใกล้ตายแล้วละก็ อาจจะได้คำตอบที่ยาวเหยียดกันเลยทีเดียว เพราะเวลาชีวิตที่ล่วงเลยมาจนถึงช่วงสุดท้าย มักจะทำให้คนเราเห็นคุณค่าของชีวิตและมองเห็นสิ่งที่ชีวิตขาดหายได้ชัดเจน ในสิ่งที่ผมจะนำมานี้คือสิ่งที่ทุกคนมักเสียดายมากที่สุดในช่วงท้ายของชีวิตจาก ซึ่งนำมาจาก บรอนนี แวร์ พยาบาลชาวออสเตรเลียรายหนึ่งที่มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยใกล้ตาย ตัดสินใจรวบรวมคำตอบของคนที่มีเวลาชีวิตเหลือน้อยมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ The Top Five Regrets of the Dying เพื่อเป็นกระจกสะท้อนกลับมาถึงคนที่กำลังมีชีวิตอยู่ ให้ได้ถามตัวเองดูว่า สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นสิ่งที่เติมเต็มให้ชีวิตมีความสุขหรือมีคุณค่าอย่างที่เราอยากให้เป็นแล้วหรือไม่


ซึ่งเธอระบุไว้ว่าสิ่งที่คนใกล้ตายส่วนใหญ่รู้สึกเสียดายกันมากที่สุด ได้แก่ 5 สิ่งต่อไปนี้
1. เสียดายที่ไม่ได้ทำตามสิ่งที่ใจต้องการ นี่เป็นสิ่งที่คนใกล้ตายรู้สึกเสียดายกันมากที่สุด เมื่อพวกเขารู้ตัวว่าเวลาชีวิตเหลือน้อย และลองมองกลับไปในอดีต พวกเขามักจะเห็นว่ามีความฝันอีกมากมายที่ยังไม่ถูกเติมเต็ม บางคนก็ดำเนินชีวิตไปตามความคาดหวังของคนอื่นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ทุกคนล้วนมีอิสระ มีเวลาที่จะเติมเต็มความฝันและทำอย่างที่ใจต้องการได้ทั้งชีวิต น่าเสียดายที่กว่าจะรู้ตัว พวกเขาก็ไม่มีเวลาชีวิตเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว
2. เสียดายที่ทำงานอย่างหนัก ไม่ใช่แค่ผู้ป่วยชายใกล้ตายเท่านั้นที่รู้สึกเสียดายชีวิตที่ทุ่มเทไปกับการทำงานมากเกินไป แต่ผู้หญิงก็เช่นกัน พวกเขามักเสียดายที่เวลาชีวิตไม่น้อยถูกใช้ให้หมดไปกับการทำงาน จนทำให้เวลาที่อยู่กับคนรัก ลูก ๆ และครอบครัวมีน้อยมากในความรู้สึก
 3. เสียดายที่ไม่ยอมเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองให้คนอื่นรู้ ผู้ป่วยใกล้ตายหลายคนกดเก็บความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อใครหลายคนไว้ เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับคนเหล่านั้น ผลสุดท้ายก็ต้องมานอนเสียดายหรือเจ็บใจที่ความไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกในอดีต ทำให้เขาไม่ได้เป็นในสิ่งที่เขาสามารถเป็นได้ นอกจากนี้ ยังมีการพบว่าผู้ป่วยหลายรายมีสุขภาพจิตย่ำแย่จากการเก็บกดความรู้สึกเช่นนี้ในช่วงสุดท้ายก่อนตายอีกด้วย
4. เสียดายที่ปล่อยให้เพื่อนฝูงห่างหาย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แม้ว่าบางช่วงชีวิต "เพื่อน" อาจดูไม่ได้สำคัญกับชีวิตเท่าไร แต่เมื่อถึงตอนใกล้ตาย คนแทบทุกคนมักจะคิดถึงและเรียกร้องหาเพื่อนเก่าทั้งนั้น เพราะพวกเขามักจะมานั่งนึกถึงอดีตและมองเห็นความดีของเพื่อนที่เข้าใจเมื่อสาย กว่าจะรู้ตัวก็ปล่อยให้เพื่อนเก่าห่างหาย ไม่รู้จะตามหาได้ที่ไหนเสียแล้ว

5. เสียดายที่ไม่ทำให้ตัวเองมีความสุขมากกว่านี้ ชีวิตคนเรามีเวลามากมายในการทำให้ชีวิตและจิตใจตัวเองมีความสุขในทุก ๆ วัน แต่บางครั้งคนเรากลับเคยชินที่จะอยู่กับชีวิตแบบเดิม ๆ พฤติกรรมแบบเดิม ๆ และความไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ทำให้หลายคนต้องแสร้งทำเหมือนตัวเองมีความสุขให้คนอื่นเห็น บางครั้งก็หลอกตัวเองว่ามีความสุขด้วย ทั้ง ๆ ที่ลึก ๆ แล้ว รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเกิดขึ้นได้ยากมาก สุดท้ายก็มานั่งเสียดายที่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับสิ่งเดิม ๆ และเพิ่งจะมาตระหนักรู้เอาตอนช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตว่าความสุขนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกที่จะเป็นได้

นิสัยดีด้วยความขยันและอดทน


นิสัยด้านดีที่ไม่ธรรมดาของคนที่มีความอดทน ความอดทน มีคำนิยามโดยย่อ คือ “ความสามารถที่จะขยันทำงานและรับผิดชอบต่อความล้มเหลวและความลำบาก คุณสมบัติทางด้านจิตใจดังกล่าวนี้ย่อมมีในคนที่ทำงานค่อนข้างหนัก เคร่งครัดในหน้าที่ และมีเป้าหมายชัดเจน
  ความอดทน ส่วนมากจะเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะจิตใจที่เข้มแข็งอดทนเป็นพื้นฐานของความสำเร็จในระยะยาว ตัวอย่างเช่น คนที่ประสบความสำเร็จจะมีความพึงพอใจในการใช้เวลาคิดให้ดี อดทนต่อความพยายามที่ต้องลองผิดลองถูก ไปจนถึงอดทนที่จะเอาชนะความกลัวเพื่อจะทำอะไรสักอย่างโดยจำเป็นต้องทำ (แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงไม่กลัว แต่หมายถึงกล้าที่จะเสี่ยงทำอะไรที่เป็นความแตกต่างออกไปอย่างมาก) คนที่ประสบความสำเร็จไม่เพียงแต่เป็นคนที่จัดลำดับความสำคัญได้ดี แต่ยังเป็นนักตัดสินใจที่ดีเมื่อต้องเลือกสิ่งที่เข้ามาหาพร้อมกัน   ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าแค่ “ความอดทน” ก็ให้อะไรได้มากกว่าความสำเร็จ มันไม่ใช่แค่จิตใจเข้มแข็งเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังส่งผลต่อคุณสมบัติด้านอื่นที่น่าสนใจ และทำให้เป็นคนน่าสนใจอีกด้วย


 1. เป็นผู้ลงมือทำอยู่เสมอเมื่อรู้ว่าเราสามารถควบคุมทุกสิ่งได้ด้วยตัวเอง
หลายคนเชื่อในโชคชะตาที่จะดลให้เกิดความสำเร็จหรือความล้มเหลว ถ้าประสบความสำเร็จก็ถือว่าโชคเข้าข้างเรา ถ้าล้มเหลวก็โทษว่ามันเป็นดวงเฮงซวย   คนส่วนใหญ่จะรู้สึกดีเมื่อความโชคดีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิต แล้วบอกว่าความสำเร็จเกิดขึ้นเพราะโชคดี พวกเขาไม่เคยรู้จักการ “รอคอย” เชื่อแต่ในเรื่องความบังเอิญ ซึ่งถ้าโชคนั้นเกิดขึ้นเพราะการกระทำ ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ นั่นก็แปลว่า เราควบคุมมันเองได้ ดังนั้น คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องความบังเอิญ เขาจะลงมือทำ แม้ว่ามันต้องใช้เวลานาน ใช้ความพยายามอย่างสูง โชคชะตาอาจเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ แต่ตัวคุณเองควบคุมตัวเองได้แน่นอน 


 2. เลือกที่จะไม่สนใจในสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดผลกระทบอะไรมาก
จิตใจที่แข็งแรงก็เหมือนกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ไม่มีใครจะสร้างให้เราได้เท่าตัวเราเอง ดังนั้นมันเรื่องอะไรกันที่คุณจะเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ใช่ธุระของคุณ   อะไรก็ตามที่คุณแคร์และต้องการให้คนอื่นมาแคร์คุณมันอาจจะเป็นเรื่องการเมือง ครอบครัว เพื่อน ที่ทำงาน ฯลฯ มันโอเคที่คุณจะ “ทำเท่าที่ทำได้” เช่น โหวตคะแนนเสียงในบัตรเลือกตั้ง ให้เพื่อนยืมของ ทำมันไปเถอะถ้ามันเป็นไปในทิศทางที่ “คุณเลือกการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวคุณเอง” แต่อย่าพยายามจะเปลี่ยนคนอื่นด้วยการเปลี่ยนแปลงอันอื่น (ที่มันใหญ่โตเกินตัวคุณและคนอื่นก็ไม่ได้ต้องการ)   สำหรับเรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงเรา อดทนเถอะ เราทำเท่าที่เราทำไปแล้วไงล่ะ 

 3. เห็นคุณค่าของอดีตเป็นบทเรียน
อดีตมีค่าพอในฐานะให้เราได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดของตัวเราหรือคนอื่นก็ตาม หลังจากได้เรียนรู้แล้ว คุณก็ปล่อยมันไปซะ   มันเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ลงมือทำยาก ? ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติของคุณว่าเมื่อเกิดเรื่องแย่ ๆ ขึ้นกับคุณ คุณเห็นโอกาสที่จะเรียนรู้บางอย่างรึเปล่า ถ้าคนอื่นผิดพลาดคุณยังเห็นโอกาสที่จะเรียนรู้ในการให้อภัย เข้าใจ และยอมรับรึเปล่า   อดีตคือการฝึกฝน มันไม่ใช่การนิยามตัวตนเราตลอดไป ช่วงเวลาตั้งแต่การทำผิด ถือว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ต้องอาศัยความอดทนในการแก้ไขและพิสูจน์ตัวเองต่อคนรอบข้างไปพร้อม ๆ กัน จึงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าความผิดพลาดในครั้งหนึ่งมันเป็นบทเรียนราคาแพงก็เพราะต้องใช้ความอดทนสูงในการเรียนรู้จนกว่ามันจะผ่านพ้นไป


  4. สรรเสริญความสำเร็จของคนอื่น
 กีฬาหรือเกมส์การแข่งขันที่ต้องทำคะแนนกัน แน่นอนว่าถ้ามีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ อย่าโกรธเคืองในความดีเลิศของคนอื่น การข่มใจ ยอมรับว่าตัวเองแพ้ อ่อนหัดจริง แล้วยินดีกับคนอื่น นอกจากจะทำให้คุณได้เพื่อนที่ดีเพิ่มขึ้น มันยังทำให้คนอื่นมองเห็นน้ำใจคุณเหมือนกับที่คุณมองเห็นน้ำใจของตัวเองแล้วยอมแบ่งปันให้คนอื่นนั่นแหละ แสงสว่างที่มากขึ้นเพราะเติมไฟให้คนอื่นด้วยไฟของตัวเรา(แม้จะน้อยนิด) มันยังดีกว่าเราดับไฟคนอื่นแต่ไฟตัวเองสว่างฝ่ายเดียว จริงไหม?


  5. ไม่เป็นคนที่เอาแต่คร่ำครวญ
คำพูดของคนเรามีพลังมาก เมื่อเกิดปัญหาขึ้น แน่นอนว่าการบ่นครวญครางมันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น มันมีแต่ทำให้ตัวเราและคนอื่นที่ได้ฟังรู้สึกแย่ หดหู่ ได้รับพลังด้านลบ คนที่อดทนจะไม่เสียเวลาไปกับการพร่ำบ่นใด ๆ เด็ดขาด แม้จะรู้สึกเหนื่อยก็จะเก็บไว้ในใจ ไม่พูดหรือแสดงออกให้ใครพลอยรู้สึกแย่ไปด้วย ตรงกันข้าม กลับพูดสร้างกำลังใจให้ตัวเองและเพื่อนร่วมงาน รู้สึกมีพลัง อยากทำงานต่อ 


 6. โฟกัสเฉพาะด้านประทับใจจากคนอื่นด้วยตัวคุณเอง  
เสื้อผ้าหน้าผม รถ บ้าน ปัจจัยภายนอกของคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครซ้ำคุณและคุณก็ไม่ซ้ำใครง่าย ๆ  อาจมีบ้างที่จะไปบังเอิญเหมือนคุณในบางสิ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวตนพวกเขาจะต้องเหมือนตัวตนของคุณ (แน่นอนว่า ถ้ามองโดยผิวเผินก็ดูเหมือนว่าจะเหมือนคุณ แต่ความผิวเผินนั้นมันมีความเปราะบางด้วย ดังนั้น ความสัมพันธ์ที่ไม่มีแก่นสารใดมันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่จริงแท้เช่นกัน)   สัมพันธภาพที่แท้จริงจะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น การที่คุณพยายามจะเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่แค่การหยุดเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นเท่านั้น คุณยังต้องใช้ความอดทนอย่างมากที่จะให้คนอื่นมาสร้างสาระให้กับชีวิตตัวคุณเองด้วย (คุณอาจมีเพื่อนเยอะ รู้สึกเฉิดฉายที่ได้โชว์ฟอร์มท่ามกลางเพื่อนฝูง แต่เพื่อนแท้จะช่วยสร้างแก่นสารกับชีวิตคุณ แม้ว่าจะต้องขัดใจกันบ้างก็ตาม คุณต้องอดทน แล้วคุณจะรู้จักสัมพันธภาพ “เพื่อน” ที่แท้จริงมากขึ้น)  

 
  7. เก็บแต่ช่วงเวลาที่ดี
ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก่อนปิดไฟ หยุดคิดหยุดกังวลทุกเรื่องซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่ “ไม่ต้องทำ” คิดแต่สิ่งที่ “ต้องทำ” แล้วจะรู้สึกว่าก่อนนอนแต่ละวันมีเรื่องให้อยากขอบคุณเยอะไปหมด รู้สึกว่าชีวิตมีความหมายที่ได้ใช้ความอดทนความพยายาม เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แต่ก็ทำสิ่งดี ๆ ลุล่วงไปแล้ว มันเป็นความรู้สึกดีที่เหมือนได้ชาร์จแบตตัวเองให้สดชื่นพร้อมรับวันใหม่เลยทีเดียว



17 ผลลัพธ์โคตรอันตรายที่เกิดจากการนอนดึก

เคยลองสังเกตตัวเองกันบ้างไหมว่า? ทำไมช่วงนี้เราขี้หงุดหงิด ขี้หลงขี้ลืม หรือมีอาการเฉื่อยชา บ้างรึเปล่า? ถ้ามีลองเช็คตัวเองอีกทีซิว่า ช่วงนั้นเรานอนดึกไหม อาการที่เกิดขึ้นนั้นส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการพักผ่อนน้อย นอนดึกก็เป็นได้ แล้วเพื่อนๆ รู้ไหมว่า “การนอนดึก” นี่แฝงไปด้วยอันตรายที่เราไม่ทันรู้ตัวเลย แล้วจะมีอะไรบ้าง ลองไปดูกันครับ 


17 ผลลัพธ์โคตรอันตรายที่เกิดจากการนอนดึก!
1. อารมณ์ไม่ดี อารมณ์แปรปรวน
 จากผลการวิจัย เผยว่า คนที่มีค่าเฉลี่ยการนอนหลับเพียง 4.5 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลาต่อเนื่อง 1 สัปดาห์นั้น มีแนวโน้มจะเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวน มากกว่าคนที่มีเวลานอนประมาณ 7 ชั่วโมงต่อคืน ทั้งนี้สภาพอารมณ์แปรปรวนที่เกิดขึ้น เหล่านั้นจะหมายความรวมถึงอารมณ์ และความรู้สึกเครียด เศร้า โมโห หงุดหงิด ท้อแท้ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเรื่องปกติที่คนธรรมดาทุกคน อย่างเราต้องเผชิญอยู่ทุกวี่วัน ก็มีแน้วโน้มว่า คนนอนน้อย นอนไม่พอ จะควบคุมอารมณ์ได้น้อยความคนที่นอนอย่างเพียงพอนั่นเอง
 2. สมองไม่รับรู้ เรียนรู้อะไรได้ช้าลง
 การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ สามารถส่งผลให้สมองของเรา มีการรับรู้และเรียนรู้ช้าลงได้จริง จากผลสำรวจในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้มีการทดลองเลื่อนเวลาเข้าเรียนจาก 7.30 น. เป็น 8.30 น. พบว่า ผลคะแนนของวิชาเลข และวิชาการอ่านของนักเรียนเพิ่มสูงขึ้นประมาณร้อยละ 2 และร้อยละ 1 ตามลำดับ และนี่จึงเป็นการอธิบายได้ว่า ถ้าเราเพิ่มระยะเวลาในการนอนหลับ ก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ในการเรียนรู้และจดจำของสมองให้มากขึ้นได้
 3. มีอาการปวดหัวไม่สบาย
 อย่างที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินกัน ว่าการนอนน้อย นอนไม่พอนั้น จะทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จึงเป็นสาเหตุของอาการปวดหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับคนที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคปวดไมเกรนนั้น ยิ่งมีโอกาสที่อาการจะกำเริบมากกว่าคนที่ไม่เป็นด้วย นอกจากนี้ ก็ยังมีคนส่วนใหญ่ที่นอนน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอาการปวดหัวในตอนเช้า ในขณะที่อีกร้อยละ 36-58 มีอาการนอนไม่หลับในช่วงตอนกลางคืน พอตื่นเช้าขึ้นมา ก็มีอาการปวดหัวเล็กน้อย


 4. อ้วน น้ำหนักขึ้น
 คนที่นอนไม่พอ มีแนวโน้มว่าจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ง่ายกว่าคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอ เนื่องจากการที่ร่างกายของเรา หลังจากที่ไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอจะเกิดอาการอยากอาหาร หรือว่าหิวง่ายขึ้น หลังจากนั้นสมองก็จะเริ่มสั่งการให้เรามีความรู้สึกอยากกินอาหารแคลอรี่สูง และนี่เองคือสาเหตุสำคัญของการที่น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น คนที่ไม่อยากอ้วน ต้องนอนให้เต็มอิ่มจะได้ไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้
 5. โรคหัวใจ
 จากการทดลองในกลุ่มอาสาสมัคร ที่ไม่มีการนอนพักผ่อนเลยเป็นเวลา 88 ชั่วโมง ผลที่ได้ก็คือ พวกเขาเหล่านั้นมีระดับความดันเลือดที่สูงมาก ในขณะเดียวกันเมื่อเปลี่ยนมาให้กลุ่มอาสาสมัครได้นอนเป็นเวลานาน 4 ชั่วโมงใน 1 คืน ผลปรากฎว่า อัตราการเต้นของหัวใจกลับอยู่ในระดับซึ่งมีความใกล้เคียงกับคนที่นอนเป็นระยะเวลานานปกติ และอีกหนึ่งสิ่งที่ส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจก็คือ สารโปรตีน ที่มาสะสมตัวมากขึ้นในช่วงที่เราตื่น และจะถูกขับออกจากร่างกายโดยธรรมชาติเมื่อเราหลับ เพราะฉะนั้นเวลาที่นอนไม่พอ หรือนอนน้อยติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จึงมีความเสี่ยง ที่จะเป็นโรคหัวใจได้
 6. ระบบภูมิคุ้มกันต่ำลง
 เมื่อเรานอนน้อยจะทำให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ทำงานอย่างไม่มีทำให้การฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ที่สึกหรอผิดแปลกไปจากปกติ ผลที่เกิดขึ้นคือ แผลหายช้า รวมถึงร่างกายจะติดเชื้อง่ายขึ้น
 7. รู้สึกช้า เฉื่อยชา
 สำหรับการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้นักวิจัย ได้ทำการแบ่งกลุ่มอาสาสมัครออกเป็นสองกลุ่มด้วยกัน โดยจัดให้กลุ่มหนึ่งห้ามนอน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งได้นอนตามปกติ จากนั้นให้อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มทำแบบทดสอบทั้งหมด 2 ครั้ง ผลที่ได้ปรากฏว่า กลุ่มอาสาสมัครฝั่งที่ได้นอนพักผ่อน อย่างเพียงพอนั้นมีการตอบโต้ และทำการตัดสินใจได้รวดเร็วมากกว่ากลุ่มคนที่ไม่ได้นอนหลับพักผ่อน ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสรุปได้ว่า การนอนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ร่างกายมีการตอบสนองได้ช้าลง และทำให้มีอาการเฉื่อยชา
 8. สายตาพร่ามัวหนังตากระตุก
 นอนน้อยทำให้การมองเห็นมีประสิทธิภาพแย่ลง การนอนไม่พอมีผลทำให้สายตาของเราพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด ที่เข้าใจว่าหลายคนน่าจะเคยมีอาการแบบนี้กันบ้าง และถ้าหากนอนไม่พอติดต่อกันไปเรื่อยๆ เป็นระยะเวลาหลายคืน ก็อาจมีอาการเห็นภาพหลอนร่วมด้วย มีคนที่นอนน้อยก็อาจจะเกิดอาการกล้ามเนื้อตากระตุก หรือตาเขม่น หรือที่หลายคนชอบพูดว่าหนังตากระตุก ที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า หนังตากระตุกขวาร้าย ซ้ายดี ทั้งที่ความจริงแล้ว อาการกล้ามเนื้อตากระตุก หนังตาเขม่น มองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเป็นภาพซ้อน เบลอ มองไม่ชัด ก็มาจากที่เซลล์กล้ามเนื้อบริเวณดวงตาที่ไม่ได้รับการซ่อมแซมตัวเองอย่างสมบูรณ์เพราะนอนน้อยนั่นเอง

9. ปัสสาวะบ่อย
 ผู้ใหญ่ที่มีอาการฉี่รดที่นอน และชอบตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำในช่วงตอนกลางคืนบ่อยๆ ก็เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่ง ว่าร่างกายของเรากำลังได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากระบบขับปัสสาวะภายในร่างกายของเราจะทำงานตามนาฬิกาชีวิตเหมือนทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนของกล้ามเนื้อหูรูดในท่อปัสสาวะจะไม่ทำงานในตอนกลางคืน อีกทั้งมีนยังมีความแข็งแรงมากพอที่จะกลั้นปัสสาวะของเรา ไม่ให้เกิดอาการฉี่รดที่นอนในขณะที่เราหลับ เมื่อคนเรานอนไม่พอติดต่อกันเป็นประจำนั้น ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดในท่อปัสสาวะอ่อนแอลงได้ จนกลายเป็นปัญหาฉี่รดที่นอนในผู้ใหญ่
 10. ทำให้การตัดสินใจผิดพลาด
 เพราะอะไร คืนก่อนวันสำคัญ ควรเข้านอนแต่เช้า? ถ้าเป็นสาวๆ ก็น่าจะห่วงในเรื่องของความสวยความงาม นอนไม่พอหน้าโทรม ดูไม่สดชื่น ซึ่งในความเป้นจริงมีเหตุผลมากกว่านั้นซ่อนอยู่ คือ การนอนไม่พอนั้น จะส่งผลทำให้สมองประมวลความคิดช้าลง และก่อให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดได้
 11. ไม่มีสมาธิ
 ความอ่อนเพลีย จากการนอนน้อย ทำให้สมาธิแย่ลง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ทั้งการทำงาน เล่นกีฬา การเรียน หรือแม้กระทั่งการขับ เนื่องจากสมองไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ร่างกายอยู่ภาวะมึนงงไม่สามารถตั้งใจจดจ่อกับอะไรได้
 12. พูดจาไม่รู้เรื่อง
 จากการทดลองในเรื่องนี้ ในกลุ่มอาสาสมัครที่ไม่นอนเลยเป็นเวลา 36 ชั่วโมงนั้น ผลปรากฏว่า อาสาสมัครกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่อง พูดติดขัด และพูดได้ช้าลง ที่สำคัญก็คือ พวกเขาไม่สามารถพูดในสิ่งที่คิดออกมาได้ เพราะสมองประมวลความคิดต่างๆ ช้าลงนั่นเอง


 13. เจ็บป่วยง่าย
 นอนน้อย นอนไม่พอทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำลง จากผลการวิจัยส่วนใหญ่ เผยว่า คนที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมง มีโอกาสป่วยได้มากกว่าคนที่นอนเกิน 8 ชั่วโมงถึงสามเท่า และคนที่ใช้เวลานานกว่าจะนอนหลับนั้น ก็มีโอกาสป่วยง่ายกว่าคนที่หัวถึงหมอนแล้วหลับเลยถึง 5.5 เท่าเลยทีเดียว
 14. มีความเสี่ยงที่จะประสบอุบัติเหตุ
 คิดว่าเป็นอาการที่หลายคนเคยเจอมากับตัวเองอยู่แล้ว สำหรับการนั่งหลับ รู้สึกง่วง ถ้าเป็นที่ทำงานในบริษัทก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นอาชีพที่ต้องใช้สมาธิอยู่ตลอดเวลา อย่างการขับยานพาหนะ คนเหล่านี้จะให้ความสำคัญกับการนอนมากเป็นพิเศษ เช่น นักบิน คนขับรถ คนขับรถบรรทุกส่งของ เป็นต้น สาเหตุเป็นเพราะการนอนไม่พอสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่า อย่างที่เห็นกันในหัวข้อข่าวเป็นประจำ ปัญหาส่วนหนึ่งที่ว่านี้ เกิดจากจากความเหนื่อยล้าของร่างกาย เมื่อเผลอหลับในเพียงระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาที ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้แล้ว
 15. สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง
 ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนอนหลับมีผลต่อเรื่องสมรรถภาพทางเพศด้วย ว่ากันว่าการนอนหลับไม่ไม่เพียงพอ จะมีผลต่อกระบวนการสร้างฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนให้ต่ำลงได้ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการทางเพศลดต่ำลง ซึ่งภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนั้น จะพบเห็นได้มากในผู้ป่วยที่เป็นโรคนอนไม่หลับ
 16. ขี้หลงขี้ลืม
 ผลการวิจัยในปี 1924 เปิดเผยว่า ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมนอนน้อย เมื่อเทียบกับคนปกติ และส่งผลให้เกิดการสะสมตัวของโปรตีนแอมีลอยด์ บีตา (Amyloid beta) ในเซลล์ประสาทมีความหนาขึ้นเป็นชั้น ทำให้สมองเสื่อม นอกจากนี้ยังส่งผลต่อโครงสร้างของรูปสมองให้เปลี่ยนไป และนี่จึงเป็นสาเหตุที่สมองจดจำอะไรไม่ได้นาน
 17. อายุสั้นลง
 การที่อายุขัยของเราสั้นลงนั้น เป็นปัญหาโดยรวมที่เกิดขึ้นเมื่อเรานอนพักผ่อนไม่เพียงพอ จากหลายๆ โรคที่เกิดขึ่นอย่างที่เราได้กล่าวกันไปแล้วเมื่อข้างต้น เมื่อผลกระทบเหล่านั้นถูกสะสมมาเป็นระยะเวลานาน ร่างกานของเราก็อ่อนแอลง ซึ่งทำให้ชีวิตของเราสั้นลงตามมาด้วย จากผลการวิจัยเผยว่า การนอนในตอนกลางคืนโดยเฉลี่ย 7-8 ชั่วโมงนั้นเป็นช่วงเวลาที่กำลังดีและเหมาะสมที่สุด ซึ่งจะสามารถยืดอายุขัยของเราให้นานขึ้นได้ด้วย

ไม่ยึดติดปล่อยว่าง วิธีสร้างหนทางแห่งความสุข



จิตรใจมนุษย์แปรผันไปตามสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตั มีเรื่องราวต่างๆ เข้ามาในชีวิตบางคนคิดว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามในแบบที่คิด ต้องควบคุมทุกอย่างในชีวิต ต้องเป้นไปอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายเมื่อทำไม่ได้ก็เกิดความทุกข์





ในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถควบคุมบางอย่างได้แต่ไม่เราสามารถควบคุมทุกอย่างได้ซึ่งสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้นั้น คือ ความคิด การกระทำและอารมณ์ของเรานั้นเองความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น การเริ่มคิดในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องคิดในแง่บวกจะทำให้โลกสวยงามขึ้น เมื่อคิดได้แล้วก็จะมีการกระทำที่มาจากความคิดที่ดี เมื่อคิดดีทำดีผลออกมาดี ทำให้อารมณ์ดีตามไปด้วยนี่คือสิ่งที่สามารถควบคุมได้




แต่สิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้นั้นก็คือ ความคิด การกระทำของผู้อื่น ชะตาลิขิต และความเป็นไปของธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่เหนือการควบคุมของเราอย่างแน่นอน เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขความคิดหรือการกระทำของคนอื่นได้ เนื่องจากทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดฝันส่วนในเรื่งของชะตาลิขิตนั้นเป็นสิ่งลี้ลับบางอย่างถูกกำหนดไว้แล้วว่าเราต้องอยู่ที่ใดเจอกับใคร เราไม่สามารถ เราไม่สามารถอาจตอบคำถามเรื่องของโชคชะตาได้ทั้งหมด จึงไม่ควรยึดติดและเก็บมาเป้นคำถามให้ท้อแท้ใจและสุดท้ายคือเรื่องความเป็นไปของธรรมชาติ ฝนจะตก อากาศจะหนาว แดดจะร้อน เราไม่สามารถ กำหนดแต่เราสามารถที่จะป้องกันได้โดยการพกร่ม ใส่เสื้อกันหนาว ทาครีมกันเเดดได้ ทราบแล้วว่าสิ่ใดสามารถควบคุมได้สิ่งใดไม่สามารถควบคุมได้


ดังนั้นเมื่อควบคุมไม่ได้ก็ไม่ควรนำกลับมาคิดเป้นปัญหา ควรปล่อยวาง ให้เวลาเป็นตัวช่วยที่ดีในการแก้ไข จำไว้ว่าบนดลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราอย่างแท้จริง การไม่ยึดติดและปล่อยวางต่างหากที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขอย่างแท้จริง

ปกาเกอะญอ ผู้รักป่า

ปกาเกอะญอ




  • ชาวกะเหรี่ยง เรียกตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” ซึ่งแปลว่า “คน” เป็นชนเผ่าที่มีจำนวนมากที่สุด ในประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ สะกอ หรือยางขาว หรือ ปากฺกะญอ เป็นกลุ่มที่มีประชากรมากที่สุด โป หรือ โพล่ อยู่ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำพูน ปะโอ หรือ ตองสู และบะเว หรือ คะยา ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ถิ่นฐานเดิมของกะเหรี่ยงอยู่บริเวณมองโกเลียเมื่อกว่า2000ปีมาแล้ว ต่อมาได้หนีภัยจากการรุกรานจากกองทัพจีน มาอยู่ที่ธิเบต ถอยร่นลงมาทางใต้เรื่อยๆ ตั้งแต่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ลุ่มน้ำสาละวิน มาถึงคอคอดกระจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้ามาในประเทศไทยในตอนปลายศตวรรษที่ 18 ในรัชสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ

ปกาเกอะญอมีวัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการ ทำพิธีกรรมเลี้ยงผี บวงสรวงดวงวิญญาณ ด้วยการต้มเหล้า ฆ่าไก่ - แกง และมัดมือผู้ร่วมพิธีด้วยฝ้ายดิบ ซึ่งเกี่ยวโยงกัน


 ประเพณีปีใหม่ โดยหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ระบุวันล่วงหน้า แต่ละหมู่บ้านจะมีปีใหม่ แต่ละปีไม่ตรงกัน เพราะเป็นพิธีที่หมายถึงการเริ่มต้นของฤดูกาลการเกษตร และอยู่เย็นเป็นสุข


 ประเพณีแต่งงาน ผู้หญิงจะเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง เจ้าสาวจะต้องทอเสื้อผ้า กางเกง ย่ามไว้ให้เจ้าบ่าว ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องฆ่าหมูฆ่าไก่เพื่อทำพิธีกรรมบอกต่อผีบรรพบุรุษและเป็นอาหารเลี้ยงแขก แต่งงานแล้วฝ่ายชายต้องมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง 1 ฤดูเก็บเกี่ยว ก่อนแยกไปปลูกบ้านใกล้กัน 


และยังมีพิธีกรรม"เดปอทู" ซึ่งพิธีกรรมการเกิดของชาวปกาเกอะ เมื่อใดที่มีเด็กเกิด ผู้เป็นพ่อตัดสายสะดือใส่กระบอกไม้ไผ่ไปติดไว้ตามต้นไม้ที่มีลำต้นตรงนิ่ง โดย 3 วันหลังจากผูกเสร็จแล้ว จะมีพิธีการปาสายสะดือให้ตกลงมา และห้ามตัดต้นไม้นั้น มิฉะนั้นจะเกิดเรื่องไม่เป็นสิริมงคลกับเจ้าของสะดือ  






มีสภาพความเป็นอยู่ที่ง่ายๆส่วนใหญ่อาศัยอยู่บทภูเขาสูงมีการใช่ประโยชน์จากธรรมชาติ โดยไม่มีการทำลาย
ซึ่งปกาเกอะญอมีความเชื่อในผูตผีสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นมีการไหว้ผี ซึ่งได้เชื่อว่าป่าทุกที่มีจะมีผูตผีคอยดูแลอยู่ จึ่งไม่มีการทำลายป่า




และด้วยพิธีกรรมและความเชื่อต่างๆจึงทำให้ชนเผ่ากะเหรี่ยงรักในธรรมชาติและไม่ทำลายธรรมชาติ จึงสามารถเห็นได้ว่าในหลายๆที่ในประเทศไทยที่มีหมู่บ้านปกาเกอะญอหรือกะเหรี่ยงทุกกลุ่มก็ตามหมู่บ้านนั้นจะอุดมสมบูรณ์ไป
ด้วยธรรมชาติ 




ซึ่งในการทำเกษตรก็จะทำในแบบพอเพียงพอเลี้ยงตัวเองไม่มีการทำลายป่าที่มาก ซึ่งถ้ามีก็จะมีแค่จำนวนน้อยเท่านั้น ซึ่งก็นำมาซึ่งคำกล่าวที่ว่าที่ใดมีปกาเกอะญอที่นั้นมีป่า

คนที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของเรา

คนที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของเรา


ความรักอาจเป็นเพียงสิ่งเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลายคนอาจรู้จักคำว่ารักเป็นอย่างดีบางคนอาจไม่รู้จัก ความรักเปรียบเสมือนสิ่งๆหน่งที่ทำให้คนสัตว์หรือธรรมชาติต่างได้อยู่ด้วยการอย่างมีความสุขซึ่งเมื่อใรที่ทุกอย่างขาดคำาว่ารักขึ้นครันนั้นก็จะถึงเวลาซึ่งแห่งความเกรียดชัง คว่มไม่ไว้ใจ เข้าใจกัน ก็จะเกิดหายนะขึ้นกับสังคมนั้นๆ






ความรักมีทั้งข้อดีและข้อเสียเมื่อมนุษย์มีความรัก และความรักไม่ได้เป็นอย่างที่ใจหวังก็เกิดความเครียดแค้น เกิดดความโลภหลงหวังที่จะได้มันมาก็จะทำให้ฟุมฟายเกิดทั้งความเครียดหรืออาจทำให้เกิดการ ฆ่าตัวตายได้กับความรักที่ไม่สมหวังซึ่งเป็นความคิดที่โง่มาก การที่เราจะมีรักสักครั้งเราควรที่จะเผื่อใจให้กับคำว่ารักเพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่แน่นอนผม จึงมึสิ่งความในใจเล็กน้อยมเป็นบทเรียนสอนใจนาคราบ(สำหรับคนที่กำลังอกหัก)




ปล่อยให้คนที่เรารักมีชีวิตของเขา…
อยู่บนเส้นทางของเขา กับคนของเขา…
ในขณะที่ความรักของเราก็ดำเนินต่อไป…
ให้ความถูกต้องยิ่งใหญ่อยู่ในสมอง…
ให้ความงดงามอยู่ในหัวใจ…ตลอดไป…



มีบางครั้งในชีวิต ที่เราเกิดรู้สึกประทับใจใครสักคน ในเวลาที่เราไม่อาจจะทำอะไรได้ แม้มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย…เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่เราจะพบใครคนหนึ่ง ที่สามารถตอบตัวเองได้ว่า “เป็นคนที่ตามหามาตลอด” และมันก็ยากพอ ๆ กับการตัดใจ

ความรัก…เป็นความรู้สึกที่บางครั้ง ก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของความคิด เราจึงสามารถรู้สึกได้ รักได้โดยใช้หัวใจรัก แต่ขณะเดียวกัน การแสดงออก และการกระทำต่าง ๆ นั้น กลับต้องใช้ “หัวใจ” และ “สมอง” ไปพร้อม ๆ กัน


หัวใจ…จะคอยบอกว่าเรารักได้ เพราะมีสิทธิ์ที่จะรัก

สมอง…จะบอกว่ารักแล้ว จะสามารถแสดงออกได้แค่ไหน

คนบางคนเกิดมาเพื่อให้เรารัก แต่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของเรา


ทำได้ไหม รักในแบบไม่เรียกร้อง ไม่ต้องการอะไร รักเพราะรู้สึกรัก…เพราะว่ารักเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ ปล่อยให้คนที่รักมีชีวิตของเขา อยู่บนเส้นทางของเขา กับคนของเขา ในขณะที่ความรักของเราก็ดำเนินต่อไป ให้ความถูกต้องยิ่งใหญ่อยู่ในสมอง ให้ความรักงดงามอยู่ในหัวใจ…ตลอดไป





ความรัก เข้าใจยาก

ใครพูด ใครบอกอะไรเรา เค้าอาจจะคิดว่าทำง่าย แต่ถ้าเจอกับตัวเอง จะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ขอให้คิดไว้เสมอว่า ถ้าเราทำไม่ได้ แต่อย่างน้อย เราก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว
รักเค้าในที่ที่ควรรัก จะทำให้ทั้งเค้า และเรา เจ็บปวดกับความรักน้อยที่สุดความรักคือการเสียสละเน้ออทุกคน


วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

จิตรวิญญาณแห่งป่า

ป่าเป็นเหมือนปอดของโลกเป็นเเหล่งผลิตออกซิเจนแก่โลกทำให้ พืช สัตว์ มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆได้มีอากาศหายใจและได้ดำรงชีวิตอยู่ยังบนพื้นโลกแห่งนี้อยู่ได้




ป่าซึ่งเป็นเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ที่สามารถทำให้ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ได้ดำรงชีวิตและอาศัยอยู่ได้แต่ในปัจจุบันป่าไม้ซึ่งเป็นปอดของโลกได้ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจึงมีการทำลายป่าธรรมชาติที่มากขึ้นซึ่งไม่พอต่อความต้องการและอีกในแง่มุมหนึ่งป่าที่ลดน้อยลงก็ไม่สามารถผลิตหรือสนองความต้องการของมนุษย์ได้จึงทำให้มีการทำลายธรรมชาติที่มากขึ้นไม่ว่าจะโดยตรงหรือทางอ้อมก็ตาม







นี่เป็นเพียงผลกระทบหนึ่งที่เกิดจากการทำลายป่า ซึ่งจะมีผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอีกมากมายไม่ว่าจะโดยตรงหรือทางอ้อมก็ตาม




ซึ่งผลกระทบที่ตามมาไม่อาจกระทบแค่เพียงมนุษย์เท่านั้นและยังส่งผลกระทบต่อเหล่าบรรดาสัตว์ต่างๆที่ต้องรับกรรมจากน้ำมือมนุษย์




นี่เป็นผลที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งธรรมชาติจะค่อยๆเอาคืนกับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น มันอาจจะไม่เห็นผลอย่างรวดเร็วแต่มันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆและจะยังรุนแรงขึ้นอีกต่อไปหากมนุษย์ยังมีการกระทำแบบนี้และยังไม่เห็นคุณค่าของธรรมชาติ